เรื่องการมอง AimStar ว่าเป็นแชร์

อย่าตกใจไปครับ  ผมมาแยกให้ดูก่อนว่าแชร์ลูกโซ่มันเป็นยังไง และ สินค้า+แผนการตลาด เอมสตาร์ มันต่างหรือเหมือนจากลูกโซ่ยังไง
มาดูคอนเซป แชร์ กันก่อนครับ
                                        แชร์ลูกโซ่
          ยิ่งสปอนเซอร์คนเยอะ ขึ้น ยิ่งเจอคำๆนี้ใช่มั้ยครับ แชร์ลูกโซ่เป็นยังไง อาจจะสับสนไม่น้อย  ยิ่งคนใหม่ๆมักจะแยกไม่ออก หลายครั้งหลายครา คุณอาจได้ยินว่า แชร์ลูกโซ่ คือการเอาสินค้ามาบังหน้า โดยมีเจตนาระดมทุน ถูกครับ  หมายความแบบนั้นล่ะ  แล้วจะแยกออกได้ยังไงล่ะ? ก่อนอื่นต้อง เล่าถึง บริษัททั่วไปก่อนนะครับ

          บริษัททั่วไป  เปิดบริษัทมา เพื่อสร้างรายได้ ด้วยการขายสินค้า   รายได้เกิดจากสินค้าที่ถูกขับเคลื่อนไปสู่ผู้บริโภค โดยยิ่งสินค้าจะทำตลาดได้ดีและต่อเนื่อง ก็ต้องสร้างแบรนด์ให้มีอิทธิพลต่อผู้บริโภคครับ แต่การทำตลาด ก็อาจแตกต่างกันไป  ซึ่งในธุรกิจ ขายตรง ก็เปลี่ยนแค่การทำตลาดเท่านั้นเอง เจตนาก็เหมือนเดิมครับ คือขายของ สร้างรายได้เข้าบริษัท โดยแค่เปลี่ยนส่วนแบ่งการตลาด จากร้านค้าส่งปลีก เซลส์ ไปเป็นผู้บริโภคได้ส่วนนี้ไปแทน
แต่
แชร์ลูกโซ่ เจตนาไม่ได้ ต้องการเปิดมาขายของ แต่ต้องการระดมเงินครับ

เมื่อ 7ปีก่อน ผมได้ไปเจอแชร์ลูกโซ่รายหนึ่งครับ  เค้าประกาศใน นสพ หางานว่าเป็นบริษัทเปิดใหม่ รับพนักงานจำนวนมาก เมื่อเข้าไป ก็เจอบริษัทแห่งหนึ่งที่เป็นห้องแถวเล็กๆ1ห้อง แต่คนเยอะมาก เปิดเพลงเสียงดัง ชื่อบริษัทยาวมากครับ (ยาวพอๆกับท่าไม้ตายของมิสเตอร์ ซาตาน ใน DBZ) พอเข้า เค้าจะมีเจ้าหน้าที่มาต้อนรับ คุย
          ทั่วไปและบอกว่า จะให้ไปสัมภาษณ์ที่ชั้น3 กับผู้บริหารทีละคน  แต่เมื่อถึงเวลา ก็ขึ้นกันไปหมดชั้นเลย  ในนั้นเป็นห้องประชุมครับ มีกระเทยนางหนึ่ง ขึ้นมาพูดหน้าเวที  เล่าที่มาที่ไป สรุปได้ว่าเป็นบริษัทที่เปิดสอนคอมพิวเตอร์และภาษา
          ซึ่ง แต่ละคอร์ส ดูแล้วตลกมากครับ เช่น  คอร์สเรียน Microsoft word  10 ครั้ง 3 พันกว่าบาท  และโปรแกรมอื่นๆที่หนีไม่พ้นโปรแกรมเบสิคที่ เด็ก ป6 สมัยนั้นก็ใช้เป็น  
จากนั้นก็มานั่งประกบหลายๆคนและให้ลงทะเบียน  ในจังหวะนั้น ก็น่าจะคล้ายกับที่หลายคนเจอในงานของเฮอร์บาไลฟ์สายผีๆนั่นล่ะครับ คือ กดดันให้ลงทะเบียน ผมเลยเสียค่าโง่จ่ายไป500 เพราะบอกว่าจองก่อนก็ได้  จากนั้น ก็ต้องไปอีกทุกวันครับ เพราะเค้าบอกให้ไปเรียนรู้  ทีมงานก็บอกให้ไปซื้อ สูทตัวละ199 แถวสะพานพุทธมาใส่  หลังจากที่ผมได้ ถามกับหลายๆคนที่หลงเข้ามา ก็พบว่าไม่มีใครรู้เลยว่าไปเรียนที่ไหน
แต่ทุกคนสนแต่เงินครับ และที่สำคัญ ตอนเข้าไปในออฟฟิศเค้าจะให้คนใหม่กรอกข้อมูลว่าใครแนะนำมา ซึ่งคนแนะนำจะได้เงินทันทีครับ ผมเห็นเจ้าของ นั่งนับเงินเป็นปึกๆในห้องตู้กระจก    ผมไป2วัน และก็ไม่ไปอีก   นี่ล่ะครับแชร์ลูกโซ่
                   (จะเห็นเลยใช่มั้ยครับ ว่า ไม่มีเจตนาขายสินค้า แต่เจตนาระดมทุน)
         
อีกเคสนึงครับ  เรื่องนี้เกิดขี้น ตอนที่ผมยังเรียนอยู่ นับแถวหลัง น่าจะ10ปีพอดี ชื่อบริษัทขอเอ่ยชื่อเลยล่ะกัน พอดีจำได้  และ ไอทีวีก็บุกจับมาแล้ว  นั่นก็คือ บริษัท เอเชียน เจมส์ บริษัทนี้ เค้าให้ผมนั่งรถไปกับเค้าครับ บอกว่าไปหารายได้พิเศษ  
พอไปถึงก็เข้าห้องประชุม ที่มีแต่ตาสีตาสานั่ง ห้อมล้อม ธุรกิจนี้ ขายเพชรครับ  เค้าบอกว่า ทำเพชรส่งออก และเอาส่วนหนึ่งมาทำตลาดในไทย  โดยให้ซื้อเพชรที่มีราคาถูกกว่าของจริงหลายสิบเท่า หลายคนหลงเชื่อ ขายที่นามาซื้อเพชร แล้วหาคนมาต่อๆๆๆครับดีนะที่ผมไม่มีเงิน ไม่งั้นคงได้เพชรเก๊มา  ภายหลังจากนั้นไม่กี่เดือน ก็ออกข่าว ไอทีวี บุกจับ  พบว่า เป็นเพชรปลอม และมีเจตนาระดมทุนเป็นแชร์ลูกโซ่ เคสนี้จะเห็นได้ว่า เป็นเคสที่มีสินค้าครับ แต่เอาของไร้ราคามาปั่นให้มีราคาเพื่อล่อให้คนมาระดมทุนทั้ง 2 เคสที่เล่ามานี้ถือเป็นตัวอย่าง ทั้งแบบไม่มีสินค้า และมีสินค้าครับ  แต่เจตนา ก็ชัดเจนครับ  คือไม่ได้ต้องการ ขยายธุรกิจอย่างชอบธรรม  ไม่สร้างสินค้าคุณภาพ  ธุรกิจ มีภาพลักษณ์ที่หลอกลวง

***************************
ต่อไป ผมจะขอแยก ประเภท ธุรกิจก่อนนะครับ เพื่อให้ง่ายต่อการพิจารณา บริษัทใหม่ๆมากขึ้น

1   เป็นบริษัทที่มีโรงงานของตัวเอง ผลิตสินค้าเอง เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของสินค้านั้น
2   ไม่มีโรงงานเป็นของตัวเอง เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์สินค้าเอง
3   ซื้อสินค้ามาทำตลาด ได้ลิขสิทธิ์เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว
4   ไม่มีสินค้าเป็นของตัวเอง ซื้อสินค้าทั่วไปมาทำตลาด และไม่ได้ลิขสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายสินค้านั้นๆ

  
 ข้อนี้  คิดว่า ข้อไหนน่าหลีกเลี่ยงที่สุดครับ
ตอบแบบไม่ต้องคิดเยอะก็ คือข้อ4ครับ  
แต่ก่อนอื่น ผมมาอธิบายตั้งแต่ข้อ1 ก่อนนะครับ
          1   เป็นบริษัทที่มีโรงงานของตัวเอง ผลิตสินค้าเอง เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของสินค้านั้น
บริษัทลักษณะนี้ เราจะเจอกันบ่อยครับ เช่น บริษัทที่เปิดมานานผลิตน้ำมังคุดส่งออก มาหลายปี แต่อยากเอาสินค้าที่ตัวเป็นเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์อยู่นั้นมาทำ ตลาดในรูปแบบขายตรง บริษัทนี้ ก็จะไปเปิดบริษัทใหม่อีกชื่อหนึ่งครับ เพื่อทำธุรกิจขายตรง และเปลี่ยนแพคเก็จของ สินค้านั้นให้เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง
(การจดทะเบียนเป็นอีกบริษัทเพื่อทำขายตรง ก็เพื่อไม่ให้ผิดกฏหมายครับ เนื่องจาก การจดทะเบียนต้องระบุลักษณะการประกอบการของบริษัทนั้นด้วย ถ้าจดทะเบียนเป็นลักษณะโรงงาน จะมาทำขายตรงไม่ได้ครับ)
          บริษัทที่มีโรงงานผลิต เองตั้งแต่แรกจะเป็นลักษณะนี้ครับ   มีลิขสิทธิ์สินค้า ถือเป็นผู้จัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว
          2   ไม่มีโรงงานเป็นของตัวเอง เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์สินค้าเอง
ลักษณะนี้ก็มีเยอะมากครับ เปิดใหม่มา ต้องการสร้างแบรนด์สินค้าของตัวเอง แต่ไปจ้างที่อื่นผลิต
เพราะเป็นการยากครับที่เปิดมาแล้วจะมีโรงงานที่ได้รับมาตรฐานต่างๆและผลิตสินค้าได้หลายๆตัว
บริษัทที่เป็นลักษณะนี้ จะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์สินค้านั้น แต่เพียงผู้เดียว ไม่มีบริษัทไหนมาซื้อไปทำตลาดได้ครับ
          3   ซื้อสินค้ามาทำตลาด ได้ลิขสิทธิ์เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว
ไม่ได้สร้างแบรนด์สินค้าของตัวเองขึ้นมาครับ แต่ไป เจอสินค้าดีจากที่ใดที่หนึ่ง ก็ขอรับลิขสิทธิ์ จัดจำหน่ายมา แล้วทำตลาดในรูปแบบขายตรง  บริษัทลักษณะ นี้ รูปแบบสินค้า อาจจะดู จับฉ่ายมั่วตั้วซักหน่อยนะครับ  เช่น เปิดบริษัทมา  มีสินค้า เซรั่ม กับปุ๋ย   หรือ  มีเม็ดประหยัดน้ำมัน กับน้ำหอม และปุ๋ย ฯลฯ สังเกตุไม่ยากครับ ดู ว่า สินค้าที่มี มันเข้ากันมั้ย แพคเกจ ออกไปแนวเดียวกันหรือป่าว ลักษณะนี้ก็ อาจจะเสี่ยงสักหน่อยครับ เนี่องจาก ไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์สินค้าเอง ถ้าเจ้าของสินค้านั้น เลิกผลิต บริษัทนี้ ก็ไม่มีสินค้านั้นมาทำตลาดอีก  
          4   ไม่มีสินค้าเป็นของตัวเอง ซื้อสินค้าทั่วไปมาทำตลาด และไม่ได้ลิขสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายสินค้านั้นๆ บริษัทลักษณะนี้ จะซื้อของทั่วไปมาบวกราคาครับ  เพราะเค้าไม่ได้รับลิขสิทธิ์ในการทำตลาดสินค้านั้นๆเลย
          เช่น เมื่อหลายปีก่อน ผมก็เจอครับ จัดที่โรงแรม แถว ประตูน้ำ   สินค้ามาเลยครับ  เขากวางอ่อน แพคเกจ โอท็อป สุดๆ เอามาขาย ขวดละพันกว่าบาท    ซึ่งผมเคยเห็นตามร้านขายอาหารสุขภาพขวดละ 90 บาท
เครื่องเล่น ดีวีดี แฟนตาเซีย ราคา คลองถม 900  เอามาขาย 3พันกว่าบาท ฯลฯโดยบริษัทนี้ให้ซื้อของครั้งแรก เลือกอะไรก็ได้รวมกันให้ได้ตาที่เค้ากำหนด และให้เอาเงินมาลงอาทิตย์ละ ไม่กี่ร้อยเพื่อรับเงินในอาทิตย์นั้นๆ  
แต่อยากได้เยอะขึ้น ต้องแนะนำคน ส่วนอีกเคสนึงก็ เกิดขี้นมาประมาณ 2ปีก่อนครับ ผมได้ไปรู้จักกับผู้บริหารคนนึงซึ่งเคยเป็นแม่ทีมบริษัทแห่งหนึ่ง แต่ไป ทำหลายตัวพร้อมกัน และโยกคนสายงานอื่น จนตัวเองโดนตัดรหัส คนผู้นี้คิดว่าตัวเองทำตลาดเป็น ก็ไปรวมเงินกับพรรคพวกเปิดบริษัทใหม่ขึ้นมา
          แต่สินค้านี้ ซื้อจากที่นั่นที่นี่ มา แล้ว ไม่เปลี่ยนแพคเกจซะด้วยนะ แต่ปริ้น กระดาษ A4 ไปทับชื่อผู้จัดจำหน่ายเฉยเลย  เมื่อผมไป ค้นหาสินค้าตัวเดียวกันในกูเกิ้ล ก็พบว่า เค้าขายกันมานานแล้ว ในราคาที่ถูกกว่า 3เท่า  ผมเห็นแบบนี้ผมก็ ต้องถอยล่ะครับ  ซึ่งปัจจุบัน ทั้ง2บริษัทที่ว่านี้ก็ ถูกปิด ไปเรียบร้อย
*******************************
          ที่ผมโพสมา 4 ลักษณะธุรกิจนี้ จะเห็นได้นะครับ ว่า ธุรกิจ ในแบบที่1-3 นั้น บริษัท จะได้รับลิขสิทธิ์ในการทำตลาดแต่เพียงผู้เดียว หรือเรียกว่าเป็น  distributor ดังนั้นเจตนา ก็คือขายสินค้าเอาเงินเข้าบริษัท แต่เปลี่ยนรูปแบบการทำตลาดครับ  ไม่ต้องกังวลว่าที่อื่นจะทำราคาแข่ง ขายแข่งกับบริษัทตัวเองในสินค้าแบรนด์เดียวกัน
          ส่วนข้อ4นั้น  ไม่ได้รับลิขสิทธืในการทำตลาดของสินค้านั้นๆเลย แต่ซื้อของมาปั่นราคา เพื่อให้คนมาลงเงิน

------------------------------------
ถ้าพูดถึงเอมสตาร์แล้ว

เอมสตาร์ก็คือ ประเภท2ครับ  คือ ไม่มีโรงงาน  จ้างผู้อื่นผลิต ภายใต้การควบคุมเรื่องลิขสิทธิ์ของตัวเอง

 ตั้งใจสร้างแบรนด์สินค้า ส่งออกนอกประเทศ  ผลิตสินค้าเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง

เรื่องสินค้าของแชร์ลูกโซ่ก็ คงจะแยกออกบ้างแล้วนะครับ ต่อไป มาดูแผนการตลาดกัน

เรื่องการมองว่า แชร์ลูกโซ่หรือไม่  ต้องดูก่อนครับ ว่าถูกมองจากใคร
          1 คนไม่ได้ทำธุรกิจ
          2 คนทำธุรกิจ ค่ายอื่น

ในกรณีคนที่ไม่ได้ทำธุรกิจ อะไรๆ ที่มันมีการต่อๆๆๆๆๆๆๆ ลงไป ก็เหมาเป็นแชร์ลูกโซ่ทุกบริษัทนั่นล่ะครับ
          ส่วนในกรณีที่ผมมองว่า แผนที่ถูกมองว่าเป็นแชร์ลูกโซ่นั้น  น่าจะเป็นไบนารี และ            ยูนิเลเวล มากกว่า สแตสเตป นะครับ และส่วนมาก จะถูกมองจากคนที่ทำแผนสแตรสเตป

          กรณีที่ ถูกมองเป็นแชร์นั้น ก็จะมีอยู่ 3 เรื่องครับ

 
         1- จ่ายเป็นชั้นๆ
ก่อนอื่น ผม ของเทียบแผนการจ่ายของทั้ง 3 แผนก่อนนะครับ
เงิน 100 บาท จะขอเอามาคิดแค่ 40 % นะครับ
1 สแตรสเตป  จะแบ่ง เป็น 4-5 ฃั้นครับ  ยกตัวอย่างเช่น

 ชั้นที่ 1(ก่อนเบรก)   / ค่าลิขสิทธิ์ชั้น1  / ค่าลิขสิทธิ์ชั้น 2  / ค่าลิขสิทธิ์ชั้น 3 / ค่าลิขสิทธิ์ชั้น 4 / ค่าลิขสิทธิ์ชั้น5
       22%            /         10%       /         6%         /           2%       /          1%        /           0.5%
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
2 ยูนิเลเวล   จะแบ่งเป็นชั้นๆ  ขอยกตัวอย่าง  5 ชั้น เช่น

fast start bonus  /    ชั้นที่  1   /    ชั้นที่  2    /    ชั้นที่ 3    /    ชั้นที่ 4     / ชั้นที่ 5  / โบนัสพิเศษ(แล้วแต่บริษัท)
       5%           /        10%    /        10%     /         5 %  /        3%     /     7 %  /       1%
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
3 ไบนารี   จะแบ่งเป็นรายได้ หลายทาง ขอประมาณไว้ที่ 6 ทาง
ค่าแนะนำ     /       จับคู่จ่าย     /      แมทชิ่งลูก    /     แมทชิ่งหลาน   /   แมทชิ่งเหลน   
10%          /       25%         /         5%         /          2.5%        /      1%
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

***ผมยกตัวอย่างคร่าวๆนะครับ ตัวเลขสมมุติขึ้นมา แต่ก็ประมาณนี้ล่ะ***
          ที่ยกตัวอย่างมานี้ ไม่ได้มีเจตนาว่าแผนไหนจ่ายเยอะกว่านะครับ แต่ผมจะบอกว่ารายได้ ที่ ถูกมาแบ่งจ่ายนั้น  ถ้าเทียบในระยะเวลาสั้นๆ อย่าง 1เดือน คนทำแผน สแตรสเตป จะได้ เงิน เป็นก้อน และได้แค่ชั้นแรกเท่านั้น (ยังไม่เบรก)
อยู่ที่ว่า ใครจะแบ่งเค้กได้มากกว่ากัน
          แต่คนทำ ยูนิเลเวล และไบนารีนั้น ในเดือนแรก จะได้ทุกทางทันที ซึ่ง จุดนี้ ทำให้ ถูกมองว่าจ่ายเป็นชั้นๆ ซึ่งความเป็นจริงแล้ว ก็ได้เป็นก้อนเช่นเดียวกัน แต่ก้อนนั้น ถูกหั่นเป็นหลายๆส่วนเท่านั้นเอง
          **กรณีไบนารี  การจับคู่จ่าย จะถูกแบ่งไปจ่ายอีกหลายสิบชั้น แต่รวมแล้วประมาณ 25%**

           
2 หัวคิว
อีกส่วนหนึ่งที่ คนทำสแตรสเตปจะมองว่า ยูนิเลเวลและไบนารี เป็นแชร์ลูกโซ่ ก็เพราะคำว่า หัวคิวครับ
เพราะทั้ง 2แผนนี้ จะมีรายได้ที่เรียกว่า "fast start bonus "เกิดขึ้น ซื่ง ในสแตสเตปนั้นไม่มี  ครับ
ในส่วนของFast start bonus หรือค่าแนะนำนั้น ก็แค่ เป็นรายได้ ที่ถูกหั่นมาจากก้อนใหญ่ๆแล้วนำมาจ่ายก่อนเท่านั้นเอง

         
ถ้าการ มี Fast start bonus เป็น แชร์ลูกโซ่ แล้ว  ตัวแทนประกัน ขายประกันได้ เบี้ยมา 10000 พอสิ้นเดือน บริษัท จ่ายค่าคอมให้ 4000 บาท แบบนี้เรียกว่า ค่าหัวคิวหรือเปล่า?

 เมื่อมีคนพาเพื่อนไปซื้อรถยนต์แล้วเซลส์ให้ค่านำพากับคนๆนั้น   แบบนี้เรียกว่าค่าหัวคิวหรือเปล่า?
          3 ระดมเงิน
เรื่องนี้ จะโดนกับไบนารี ซะ แทบจะ 100%  ครับ
เพราะแผนการตลาดได้เงินง่ายได้เร็ว  จะแนะนำมา 1 คนจะให้เค้าซื้อน้อยทำไมล่ะก้ต้องให้เค้าซื้อเยอะๆสิ เมื่อซื้อเยอะ  แน่นอน ครับ  คนข้างบนได้เยอะอย่างเร็วเลยล่ะครับ หลายๆบริษัมมีการซื้อ ของขึ้นตำแหน่งง่ายๆ   จริงอยู่ เจตนาอยากให้มีของเพื่อขยายง่ายๆ แต่ถ้าถูกชักจูงให้ ลงเงินอย่างเดียวโดยไม่ต้องเข้าระบบ ก็ ถูกกล่าวหาว่าเป็นการระดมเงินนี่ล่ะครับ  เจอแบบนี้เข้าไป ก็ เถียงไม่ออกเหมือนกัน เพราะมันหมิ่นเหม่กับ แชร์ลูกโซ่ จริงๆ